วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความเร็ว GPRS

GPRS เป็นเทคโนโลยีในยุคแรกๆของวงการของระบบ GSM ซึ่งสมัยนั้นสามารถทำได้แค่พูดคุยอย่างเดียว ส่งข้อมูลอะไรไม่ได้เลย (สมัยนั้นเราเรียกว่าช่วง 1G) ต่อจากนั้นเทคโนโลยี GPRS ก็ถูกพัฒนาขึ้นบนเครือข่ายเดิมเพื่อให้นอกจากการรับส่ง Voice เพียงอย่างเดียวแล้ว สามารถรับส่ง Data หรือข้อมูลไปพร้อมกันได้ด้วย จึงเป็นที่มาของการส่ง SMS จิ๊จ๊ะหากัน เราเรียกกันว่า 2G พอความแรดของคนเราเริ่มไม่พอเพียงกับความต้องการในยุคปัจจุบัน การส่งแค่ตัวหนังสือมันเริ่มจะเชยไป จึงเริ่มเป็นที่มาของการเข้าสู่ยุค 2.5G

ระบบ 2.5G เป็นต้นกำเนิดของระบบ GPRS ซึ่งจะสามารถเชื่อมต่อกับ Operator หรือเจ้าของเครือข่ายที่ปล่อยสัญญาณได้ความเร็วสูงสุดประมาณ 50Kbps ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีการบูมของการ Download Ringtone โทรศัพท์, ส่ง MMS เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ในปัจจุบันก็เรียกได้ว่าเกือบถูกเข็นเข้ากรุไปได้อย่างเต็มตัวแล้ว ในเมื่อประเทศไทยมีการเปิดใช้เทคโนโลยี EDGE อย่างแพร่หลาย ซึ่งความเร็วที่ต่อได้จาก EDGE จะเหนือกว่า GPRS มากกว่าถึง 4 เท่าตัวเลยทีเดียว ซึ่งหลายต่อหลายคนก็สามารถเพลิดเพลินในโลกอินเตอร์เนทยุค 2G ได้แล้วทุกสถานที่ ไม่ว่าจะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านทางมือถือ หรือโดยการใช้ Aircard

(แต่ 2.5G อาจต้องมีอันเกษียณในไม่ช้าไม่นานนี้เนื่องจากกำลังถูกคลื่นลูกใหม่ที่แรงกว่าเก่าอย่าง 3G ซัดเข้าประเทศไทย)

บทความเพิ่มเติมที่คล้ายกัน
• ข้อแตกต่างระหว่างการใช้ Aircard กับ มือถือ
• ชี้ให้ชัด Aircard กับ มือถือ อะไรดีกว่ากัน?
• Aircard คืออะไร?
• EDGE คืออะไร / EDGE หมายถึง / ความเร็ว EDGE
• EDGE vs 3G จังหวะนี้ใครแน่กว่ากัน
• ซื้อ Aircard ทั้งทีเอาแบบไหนดี?
• หมัดต่อหมัด Aircard USB ยี่ห้อไหนดี?
ข้อแตกต่างของการใช้มือถือ กับ Aircard ต่อ internet

มีลูกค้าบางท่านถามว่าทำไมต้องใช้ Aircard ด้วยในเมื่อตัวมือถือเองบางรุ่นก็ Support ต่อใช้แทนเป็นโมเด็มเองก็ได้นี่ มันต่างกันตรงที่คำว่า "บางรุ่น" นี่แหละครับ

โทรศัพท์มือถือบางรุ่นไม่รองรับการใช้ GPRS/EDGE/3G เลย
โทรศัพท์มือถือบางรุ่น รองรับ การใช้ GPRS อย่างเดียว
โทรศัพท์มือถือบางรุ่น รองรับ ทั้ง GPRS/EDGE
และโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆจะรองรับทุกระบบเลยคือ GPRS/EDGE/3G

ถ้ามือถือที่รองรับ EDGE และต่อกับ notebook ผ่านสาย data link จะได้ความเร็ว EDGE ไม่ต่างกับเชื่อมต่อ internet ผ่าน Aircard แต่ถ้ามือถือต่อกับ notebook ผ่าน bluetooth บางครั้งข้อมูลอาจเดินสะดุดและช้าบ้าง แต่ตัว Aircard เองจะได้เปรียบในเรื่อง

1. ความเสถียรของสัญญาณ เพราะ Aircard มีคุณสมบัติที่รองรับการใช้ internet เหมือนกับ ไม่มีใครอยากให้โรนัลโด้ ไปเล่นเป็นผู้รักษาประตูแน่ๆ ในเมื่อเขาทำหน้าที่อื่นได้เจ๋งกว่า
2. ใช้พลังงาน battery จาก notebook น้อยกว่าทำให้เล่นนอกสถานที่ได้นานและไม่เปลืองแบตมือถืออีกต่างหาก

หลายท่านอาจสงสัยว่า Air Card คืออะไร ? ทำไมต้องใช้ Air Card ?

ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบง่ายๆ Aircard สมัยนี้ก็เปรียบได้กับ Modem ยุคก่อน ที่เราต้องเสียบสายโทรศัพท์ ตั้งไว้ข้างเครื่องคอมจะต่ออินเตอร์เนททีหนึ่งก็ต้องเสียเงินซื้อแพคเกจอินเตอร์เนทรายชั่วโมงมาใช้ กว่าจะต่อเนทได้ก็ต้องลุ้นแล้วลุ้นอีก หมุนโทรศัพท์ให้ติดเสียง "ตี๊ ดี่ ตี๊ ดี่..." เสียเงินอีกตั้ง 3 บาท เพื่อให้ได้ความเร็วสูงที่สุดในยุคนั้นก็คือ 56k แถมบางทีก็เนทหลุดเสียใหม่อีก 3 บาท เวลาจะออกไปข้างนอกก็ไม่สามารถจะเล่นเนทได้อีกต่างหากเพราะไม่อยากจะหิ้ว โมเด็ม หนักๆ มาพ่วงนู่นพ่วงนี่กับเครื่อง พูดไปแล้วก็ชวนให้นึกถึงสมัยก่อนจริงๆครับ (เป็นบทความที่แอบเช็คอายุผู้อ่านกันน่าดู ^^)

เริ่มเห็นภาพเก่าๆแล้วเราลองมาดูภาพใหม่ๆของยุคสมัยนี้กันบ้าง Aircard คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายโมเด็ม เพื่อเชื่อมต่อกับ notebook หรือ pc เพื่อเล่นอินเตอร์เนทแบบไร้สาย ผ่านผู้ให้บริการมือถือเ่ช่น AIS DTAC ซึ่งปัจจุบันมีแพคเกจรองรับมือถือให้เปิดใช้บริการในซิมโทรศัพท์เพื่อเล่นเนทในมือถือมากมาย ก็สามารถเริ่มมาแทนที่อินเตอร์เนทแบบแพคเกจที่ต้องต่อสายโทรศัพท์เสียเงินต่อครั้งได้เป็นอย่างดี

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ Aircard คือ ไม่จำเป็นต้องมีเบอร์โทรศัพท์บ้านเพื่อต่อแบบโมเด็ม 56k หรือ high speed internet และไม่จำเป็นลุ้นให้เขตพื้นที่มีบริการอินเตอร์เนท wifi ให้บริการหรือไม่เพราะ เพียงแค่มีสัญญาณมือถือเข้าถึง ก็สามารถใช้อินเตอร์เนทได้ทุกที่ ทุกเวลา เรียกได้ว่าเป็นอินเตอร์เนทพกพา ถึงเวลาที่อินเตอร์เนทอยู่ในกำมือคุณจริงๆ

ในปัจจุบัน Aircard มีอยู่ 3 เทคโนโลยีความเร็วให้คนไทยได้เลือกใช้กันคือ GPRS, EDGE, 3G ซึ่งปัจจุบันที่นิยมใช้เล่นเนทกันมากที่สุดก็คงเป็น EDGE ที่ความเร็วสูงสุด 220Kbps แต่การใช้งานจริงจะอยู่ระหว่าง 100-200Kbps โดยความเร็วขนาดนี้สามารถใช้เข้า web เช็คอีเมล์ ได้สบาย แต่ต้องเข้าใจนิดหนึ่งว่า EDGE นั้นก็เป็นสัญญาณซึ่งไม่ต่างจากคลื่นมือถือตรงที่ว่าในบางช่วงสัญญาณจะอ่อนหรือหายไป ทำให้เนทสะดุด ดังนั้นหากจะเอาไปเล่นเกมส์ออนไลน์หรือดู TV, Youtube แบบ Smooth เลยนั้นคงไม่ได้ ซึ่งภาพจะสะดุดเป็นช่วงๆ จำเป็นต้อง download ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยดูทีเดียว ดังนั้นหากคิดจะดูทีวีด้วย AirCard คงต้องรอใช้ระบบ 3G ซึ่งจะมีความเร็วที่ 3.6-7.2Mbps ซึ่งตอนนี้ยังมีบริการไม่กี่แห่งในประเทศสยามเท่านั้น และไม่รู้เมื่อไหร่จะใช้ได้ทั่วประเทศไทย...
EDGE คืออะไร / EDGE หมายถึง / ความเร็ว EDGE
EDGE (เอดจ์) ย่อมาจาก Enhance Data Rates for Global เป็นเทคโนโลยี 3G ยุคต้นๆ ซึ่งเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า 2.75G (ส่วน GPRS เรียกว่ายุค 2.5G) EDGE เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาให้มีความเร็วแบบไร้สายที่ใช้กับมือถือให้เร็วกว่า ไวกว่า GPRS ซึ่งความเร็วที่ได้ในปัจจุบัน EDGE สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วกว่า GPRS ถึง 4 เท่าตัว

ระบบ EDGE นั้นจะพัฒนาจาก ระบบ GPRS ให้ความสามารถรับส่งข้อมูลต่อ slot สูงขึ้น โดยถ้าพัฒนากันจริงๆ สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 473.6Kbps แต่สำหรับเมืองไทยนั้น ความเร็วสูงสุดของ EDGE ที่ Operator ปล่อยออกมานั้นจะอยู่ที่ 220 - 236.8Kbps เท่านั้น (หรือที่เราเรียกกันว่า Class 10 ) ซึ่งต่อให้โทรศัพท์มือถือ หรือ AirCard เครื่องไหนที่สามารถรับสัญญาณ EDGE ได้ 473.6 แต่ connect จริงก็จะไม่เกิน 220Kbps เท่าที่ Operator ปล่อยออกมา

ความเร็ว EDGE ที่ว่านี้สามารถใช้ เข้าweb ฟังเพลง เล่นเกมส์ chat พร้อมดู webcam ได้สบาย แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า EDGE นั้นไม่ต่างจากคลื่นมือถือตรงที่บางช่วงเวลาสัญญาณจะอ่อนหรือหายไป อาจทำให้ net สะดุด ดังนั้นหากนำไปใช้เล่นเกมส์จำพวกที่ว่าห้ามเน็ตเดินสะดุดเลยสักช่วงวินาทีเดียว จะแนะนำว่าเล่นแบบ Hi-Speed จะทำให้เล่นเกมส์ได้ stable กว่า

แต่ด้วยความเร็วที่จำกัดเพียง 200Kbps กว่าๆนี้ คงไม่เพียงพอต่อการใช้ดู TV online หรือ Youtube ได้แบบต่อเนื่อง ซึ่งภาพที่ได้จะสะดุดเป็นช่วงๆ จำเป็นต้องให้download เสร็จก่อนค่อยดูทีเดียว ดังนั้นหากต้องการดู TV ด้วย AirCard คงต้องใช้ Hi-Speed Internet หรือ ใช้ระบบ 3G ซึ่ง 3G จะวิ่งที่ความเร็ว 3.6-7.2Mbps สามารถใช้ดู TV ได้ 3-5 ช่องพร้อมกันแบบสบายๆ โดยใช้ Aircard ก็เพลินได้แบบไม่มีติดขัดครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น